พิมพ์งาน 3 มิติ ควรจ้าง Outsource หรือซื้อเครื่องพิมพ์ 3 มิติ แบบไหนดีกว่ากัน ?

การพิมพ์ 3 มิติ ควรจ้าง Outsource หรือซื้อเครื่องพิมพ์ 3 มิติ แบบไหนดีกว่ากัน ?

พิมพ์งาน 3 มิติ ควรจ้าง Outsource หรือซื้อเครื่องพิมพ์ 3 มิติ แบบไหนดีกว่ากัน ?

ปัจจุบันเทคโนโลยีการ พิมพ์งาน 3 มิติ ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการดำเนินงานของธุรกิจ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจสอบการออกแบบชิ้นงาน ทดสอบการใช้งานของชิ้นงาน และช่วยลดระยะเวลาการผลิต ทำให้ธุรกิจสามารถนำเสนอสินค้าเข้าสู่ตลาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ชิ้นงานต้นแบบ 3 มิติ นั้นมีประโยชน์สำหรับการสื่อสารให้ผู้ถือหุ้นเข้าใจในไอเดียหรือคอนเซ็ปต์ของชิ้นงานได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ก็ยังมีประโยชน์ต่อการพิมพ์ซ้ำได้อย่างรวดเร็ว และทำให้ได้ชิ้นงานที่มีคุณภาพสูง ซึ่งแม้ว่าการพิมพ์สามมิติจะมีประโยชน์ต่อธุรกิจหลายอย่าง แต่ธุรกิจจำนวนมากเลือกที่ใช้บริการจ้าง Outsource ในการพิมพ์ชิ้นงาน 3 มิติ โดยเฉพาะการผลิตชิ้นส่วนขั้นสุดท้าย 

ซึ่งในบทความนี้ท่านจะได้รู้เหตุผลว่าทำไมธุรกิจจำนวนไม่น้อยจึงเลือกใช้ Outsource การพิมพ์สามมิติ และมีความแตกต่างจากการซื้อเครื่องพิมพ์ 3 มิติมาใช้งานเองอย่างไร รวมถึงการใช้งานแบบไหนดีกว่ากัน ?

ทำไมหลายธุรกิจจึงเลือกใช้ Outsource ในการพิมพ์งาน 3 มิติ

การ Outsource หมายถึงการที่ธุรกิจไม่จำเป็นต้องลงทุนในการซื้อ เครื่องพิมพ์ 3 มิติ เอง และไม่มีต้นทุนการฝึกอบรมการใช้งานเครื่อง ซึ่งจะช่วยขจัดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการผลิตชิ้นงานเอง นอกจากนี้สำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือ SMEs ที่ไม่ได้มีงบประมาณมากพอในการลงทุนซื้อเครื่องพิมพ์สามมิติเอง การใช้ Outsource จึงถือเป็นตัวเลือกดีที่สุดในการเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ของธุรกิจขนาดเล็ก หรือแม้แต่ในสถานประกอบการขนาดใหญ่เอง ทีมวิศวกรก็อาจจะไม่ได้การจัดสรรงบประมาณในการลงทุนกับซื้อเครื่องมือและฝึกอบรมราคาแพงเสมอไป จึงไม่แปลกที่จะเลือกจ้าง Outsource แทน

คลิกอ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม :

การ พิมพ์ 3 มิติ คืออะไร ?

6 ข้อดีของ เครื่องพิมพ์ 3 มิติ เหตุผลที่ทำไมจึงควรซื้อไปใช้งาน

วัสดุ 3d printer มีอะไรบ้าง ?

ตัวอย่างชิ้นงานที่ใช้ การพิมพ์ 3 มิติ

การพิมพ์งาน 3 มิติ แบบ Outsource ถือเป็นทางเลือกให้กับธุรกิจ

โมเดลและชิ้นงานต้นแบบนั้นมีความสำคัญอย่างมากในขั้นตอนการออกแบบ และธุรกิจเองก็ต้องการความรวดเร็วและวิธีการที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ในการพัฒนาคอนเซ็ปต์ของผลิตภัณฑ์ การใช้ Outsource ช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้ เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ได้ โดยที่ไม่ต้องลงทุนจำนวนมากในการซื้อเครื่อง แต่สามารถประหยัดเวลาในการผลิตชิ้นงานได้

นอกจากการใช้ Outsource ในการพิมพ์ชิ้นงาน 3 มิติแล้ว เครื่องปริ้น 3 มิติ แบบตั้งโต๊ะก็ถือเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจของธุรกิจ เนื่องจากเป็นเครื่องประเภทที่มีราคาไม่แพง แต่ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ แถมยังมีประโยชน์ต่อธุรกิจอีกหลายอย่าง ทั้งการมีต้นทุนต่ำ ปริ้นชิ้นงานได้อย่างรวดเร็ว และสามารถปรับแต่งชิ้นงานตามความต้องการของลูกค้าได้ โดยเครื่องปริ้น 3 มิติแบบตั้งโต๊ะนี้จะสามารถใช้งานได้ง่าย มีสมรรถภาพสูง จึงส่งผลในปัจจุบันมีทีมผู้ผลิตและแผนกต่างๆ มีการนำเทคโนโลยีมาใช้งานกันเพิ่มมากขึ้น ในหลากหลายอุตสาหกรรม

ธุรกิจควรเลือกใช้การพิมพ์งาน 3 มิติ แบบ Outsource หรือซื้อเครื่องพิมพ์ 3 มิติเองดี

การเลือกว่าจะใช้ การพิมพ์ 3 มิติแบบ Outsource หรือซื้อเครื่องพิมพ์ 3 มิติเอง จะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และรูปแบบการดำเนินงานของธุรกิจ โดยปัจจุบันธุรกิจจะมีอยู่ 3 ตัวเลือกหลักๆ ในการพิมพ์ชิ้นงานสามมิติ ซึ่งแต่ละตัวเลือกก็จะมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป ดังนี้

1. การใช้ Outsource พิมพ์งาน 3 มิติ จากบริษัทภายนอก (Outsourcing to third parties)

การพิมพ์ 3 มิติแบบ Outsource นั้นถือเป็นตัวเลือกที่ดี สำหรับธุรกิจที่ต้องการผลิตชิ้นงานที่มีคุณภาพดี ในปริมาณน้อย และต้องการชิ้นงานที่มีความซับซ้อน การใช้ Outsource ถือว่าตอบโจทย์มากๆ ซึ่งหากธุรกิจต้องการผลิตชิ้นส่วนหรือชิ้นงานประมาณ 5 ชิ้นต่อเดือนหรือน้อยกว่า โดยเฉพาะหากเป็นชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่ หรือเป็นชิ้นงานที่ไม่ได้ใช้วัสดุมาตรฐาน รวมถึงวิธีนี้ก็ยังมีประโยชน์สำหรับการผลิตชิ้นส่วนขั้นสุดท้าย ที่ต้องใช้วัสดุที่แตกต่างจากเดิมหรือถูกนำไปใช้งานในรูปแบบใหม่ๆ

แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องระวังในการเลือกใช้งาน เนื่องจากวิธีการพิมพ์ 3 มิติโดยใช้ Outsource นั้นเป็นวิธีที่ใช้เวลานานที่สุด และมีราคาแพงที่สุดอีกด้วย โดยแม้ว่าธุรกิจจะได้รับการปฏิบัติงานจากผู้เชี่ยวชาญ และไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงระยะยาวในการซื้อเครื่อง แต่ต้องแลกมากับการมีชั่วโมงการทำงาน และมีต้นทุนการพิมพ์ชิ้นงานที่สูงกว่าการจ้างพนักงาน แถมยังธุรกิจยังต้องใช้เวลารอนานกว่าชิ้นงานจะพิมพ์เสร็จ

ข้อดี :

  • มีหลากหลายเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติให้เลือกใช้งาน ทั้งเทคโนโลยีแบบ SLA, FFF, และ SLS
  • มีวัสดุการพิมพ์ให้เลือกมากกว่าการซื้อเครื่องเอง
  • ได้รับบริการพิมพ์ชิ้นงานจากผู้เชี่ยวชาญ
  • ไม่มีข้อผูกมัดในระยะยาว
  • ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องเอง

ข้อเสีย :

  • มีต้นทุนสูงที่สูงกว่าการปริ้นชิ้นงานเอง
  • ใช้เวลาในการพิมพ์งานช้า อาจจะเป็นสัปดาห์เลย
  • มีเอกสารและมีขั้นตอนในการปริ้นชิ้นงานที่มากกว่าการปริ้นเอง เริ่มตั้งแต่การหาและทำสัญญากับ Suppliers พิจารณาข้อเสนอ ยื่นใบเสนอราคา ผ่านข้อกำหนดของธุรกิจ พัฒนาไอเดีย ประเมินฟังก์ชั่นการใช้งาน ฯลฯ
  • มีค่าใช้จ่ายในการแก้ไขชิ้นงานที่สูง
  • การทำซ้ำหลายครั้งต้องใช้เวลานานในการปริ้น
  • ธุรกิจสามารถใช้ได้เฉพาะซอฟต์แวร์ ส่วนเสริม และเส้นที่ Outsource มีเท่านั้น
  • มีการใช้ประโยชน์ทางโครงสร้างน้อย
  • ธุรกิจไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการพิมพ์ชิ้นงานได้เอง จำเป็นต้องมีผู้ปฏิบัติงาน วิศวกรไม่สามารถใช้งานได้โดยตรง และไม่สามารถทำการบำรุงรักษาได้เอง
  • ไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้

การพิมพ์ 3 มิติ แบบใช้บริษัทภายนอกหรือ Outsource

2. การซื้อเครื่องพิมพ์ 3 มิติระดับอุตสาหกรรม (In-house industrial 3D printers)

เครื่องพิมพ์ 3 มิติระดับอุตสาหกรรม ถือเป็นตัวเลือกในอุดมคติ ของธุรกิจที่ต้องการพิมพ์ชิ้นส่วนหรือชิ้นงานเป็นจำนวนมาก โดยจะต้องธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องใช้งานเครื่องพิมพ์สามมิติอยู่เป็นประจำ และมีงบประมาณที่เพียงพอในการลงทุนซื้อเครื่องและฝึกอบรมการใช้งาน

ข้อดี :

  • สามารถเลือกใช้งานวัสดุที่มีประสิทธิภาพสูงได้หากหลาย
  • พิมพ์ชิ้นงานได้รวดเร็วกว่าการใช้บริษัท Outsource
  • ช่วยประหยัดต้นุทนการผลิต เมื่อมีทำการพิมพ์ชิ้นงานจำนวนมาก

ข้อเสีย : 

  • ใช้เงินลงทุนสูง โดยอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายซื้อเครื่องประมาณ 250,000 – 1 ล้านดอลลาร์ สำหรับระบบการผลิตแบบครบวงจร
  • ต้องใช้พื้นที่ในการติดตั้งเครื่องมาก 
  • เมื่อพิจารณาถึงต้นทุนทั้งหมด หากใช้พิมพ์ชิ้นงานเพียงครั้งเดียว จะมีต้นทุนที่สูงกว่าการใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติแบบตั้งโต๊ะ
  • ไม่เหมาะสำหรับการพิมพ์ชิ้นงานในปริมาณน้อย เพราะจะทำให้มีต้นทุนต่อหน่วยสูงขึ้น

การพิมพ์ 3 มิติ โดยใช้เครื่องพิมพ์สามมิติระดับอุตสาหกรรม

3. การซื้อเครื่องพิมพ์ 3 มิติแบบตั้งโต๊ะ (In-house desktop 3D printers)

เครื่องพิมพ์ 3 มิติแบบตั้งโต๊ะ นั้นเหมาะสมมากๆ สำหรับการสร้างชิ้นงานต้นแบบอย่างรวดเร็ว ถ้าธุรกิจมีความต้องการพิมพ์ชิ้นงานจำนวนมาก การลงทุนซื้อเครื่องพิมพ์แบบตั้งโต๊ะหลายๆ เครื่อง ก็ยังถือเป็นทางเลือกที่มีต้นทุนถูกกว่าเครื่องพิมพ์ 3 มิติระดับอุตสาหกรรม รวมถึงยังมีความง่ายในการเพิ่มกำลังการผลิตมากกว่าอีกด้วย นอกจากนี้การมีเครื่องพิมพ์หลายเครื่อง ก็ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและการควบคุมในการพิมพ์ชิ้นงาน เช่น การพิมพ์ชิ้นส่วนหนึ่งชิ้น ต่อหนึ่งเครื่อง ฯลฯ

ข้อดี :

  • มีต้นทุนต่ำ
  • ประหยัดเวลาในการพิมพ์ชิ้นงาน
  • มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับการออกแบบชิ้นงานได้ด้วยต้นทุนต่ำ
  • ข้อมูลการออกแบบชิ้นงานเป็นความลับภายในองค์กร ไม่ถูกเปิดเผย
  • สามารถควบคุมการออกแบบและการพิมพ์ชิ้นงานได้เองทุกขั้นตอน
  • ใช้พื้นที่ในการติดตั้งเครื่องน้อย
  • ราคาไม่แพงและสามารถปรับเพิ่มขนาดได้

ข้อเสีย :

  • มีข้อจำกัดทางเทคนิคในการพิมพ์วัสดุที่มีประสิทธิภาพสูง
  • ไม่เหมาะสำหรับการพิมพ์ชิ้นงานขนาดใหญ่
  • ไม่เหมาะสำหรับการปรับแต่งชิ้นงานจำนวนมาก
  • จำเป็นต้องมีการฝึกอบรมพนักงานในการใช้เครื่อง (แต่มีความเข้มข้นและความซับซ้อนน้อยกว่า เมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์ 3 มิติระดับอุตสาหกรรม)

ข้อพิจารณาสำหรับเลือกรูปแบบการพิมพ์ 3 มิติ ให้เหมาะกับการใช้งาน

1.วัตถุประสงค์ในการนำชิ้นงานไปใช้งาน

2.วัสดุการพิมพ์ที่จะเลือกใช้งาน

3.จำนวนชิ้นงานที่ต้องการในแต่ละรอบการผลิต

4.จำนวนชิ้นงานที่สามารถพิมพ์ได้ในแต่เครื่อง

5.ความคุ้นเคยของบุคคลากรกับเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ

6.ระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตชิ้นงาน

7.ความเข้ากันได้ดีของเครื่องกับสภาพแวดล้อมในการทำงาน

8.ความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้จำหน่ายและให้บริการพิมพ์ 3 มิติ

ในกรณีส่วนใหญ่ การลงทุนในเครื่องพิมพ์เดสก์ท็อปหรือแบบตั้งโต๊ะหลายๆ เครื่องใช้งานในบริษัท นั้นถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด และเลือกการพิมพ์ชิ้นงานส่วนสุดท้ายโดยใช้การ พิมพ์งาน 3 มิติ แบบ Outsource ซึ่งลักษณะการใช้งานรูปแบบนี้ถือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า ไม่เพียงแต่สำหรับงานด้านการศึกษา และทีมออกแบบหรือวิศวกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการนำไปใช้ในบริษัทหรืออุตสาหกรรมอื่นด้วย โดยเครื่องพิมพ์ระดับอุตสาหกรรมมักมีการนำไปใช้งาน้อย และไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เว้นแต่ว่าโมเดลธุรกิจของคุณจะเกี่ยวข้องกับการปรับแต่งจำนวนมาก หรือมีกิจกรรมที่มีปริมาณน้อยแต่มีกำไรสูง

ในการตัดสินใจเลือกว่าจะใช้ Outsource สำหรับการพิมพ์งาน 3 มิติ หรือเลือกลงทุนซื้อเครื่องพิมพ์ 3 มิติมาใช้งานเองนั้น ไม่เพียงแต่ต้องพิจารณาถึงความต้องการในปัจจุบันของธุรกิจเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาถึงเป้าหมายที่ธุรกิจต้องการบรรลุในอนาคตด้วย โดยธุรกิจควรให้ความสำคัญกับต้นทุนและการนำไปใช้งานจริงเป็นอันดับแรก และก็ยังควรให้ความสำคัญความสามารถในการปรับขนาดและศักยภาพในการสร้างสรรค์ชิ้นงานด้วยเช่นกัน


อ้างอิงเนื้อหาจาก : https://ultimaker.com/